วันอังคารที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2551



www.dek-d.com
ที่มาของชื่อผลไม้--ขำขำ
สมัยโบราณกาลนานมาแล้ว
มีฝรั่งมาที่เมืองไทย
(ว่ากันว่าเป็นรุ่นๆเดียวกับโคลัมบัส)
ก็ได้มาเที่ยวตลาดผลไม้ ฝรั่งก็มาดูที่กล้วยก่อนอื่น
แล้วฝรั่งถามแม่ค้าว่า \"What is this ? \
" แม่ค้าไม่รู้ภาษาอังกฤษ จึงไม่ได้ตอบอะไร
ฝรั่งเห็นดังนั้นจึงลองบีบกล้วยดู บังเอิญฝรั่งมือหนัก จึงบีบกล้วยเละ
แม่ค้าเห็นจึงร้องโวยวายว่า \" แบนแน่ๆ\"
ฝรั่งได้ฟังจึงร้องอ๋อแล้ว ก็บอกว่า \"Oh Banana !\"
หลังจากนั้น ฝรั่งก็มาชี้ที่มังคุดและถามว่า "Is this mango ? "
แม่ค้าชายไทยโกรธที่ทำกล้วยเละ จึงบอกไปว่า "แมงโกส้นTeen น่ะสิ"
ฝรั่งก็ร้องอ๋อ แล้วบอกว่า "Oh mangosteen"
แม่ค้าได้ด่าฝรั่งไปแล้ว ก็พอจะหายโกรธบ้าง
แต่พอ เหลือบไปเห็นฝรั่งเอามือที่เลอะกล้วยเละๆมาจับมะละกอ ซะเลอะเทอะ จึงยัวะมาก
พอดี๊พอดีที่ฝรั่งก็ถามขึ้นมาอีกว่า "What is this ? "
แม่ค้าไม่สนใจแล้ว แม่ค้าทำท่าจะหยิบสากขึ้นมา ด้วยต้องการจะตีหัวฝรั่ง
แต่มีคนตะโกนมาห้ามแม่ค้าว่า "ป้าๆอย่า.."
ฝรั่งได้ยินดังนั้นจึงนึกว่ามีคนบอกชื่อมะละกอ จึงร้อง "oh.. papaya"
10 สุดยอดสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นปริศนาบันลือโลก
อันดับ 1 : แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ (JACK THE RIPPER : LONDON, ENGLAND)
คดีนี้เกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1888 ที่ ตรอกไว้ท์แช็พเพล ในลอนดอน ประเภทอังกฤษ
มันคงเป็นปริศนาต่อไป และน่ากลัวกว่าที่คิดไว้เยอะ ปริศนาอันดับ 1 ที่ยังคงค้างคาใจเรา ฆาตกรต่อเนื่อง แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ อาชญากรระดับโลกที่ยังจับตัวไม่ได้ การสังหารอย่างโหด X มของเหยื่อหลายรายติดๆกันถูกกล่าวขานถึง ย่านอีสต์เอนด์ของลอนดอนสร้างชื่อกระฉ่อนถึงความน่าสะพรึงกลัว ไม่เพียงแต่ไร้วี่แววของฆาตกร การพิสูจน์ หรือทดสอบด้านนิติวิทยาศาสตร์ยังไม่พัฒนาเท่าที่ควร จึงไม่มีเหตุผล หรือหลักฐานหนักแน่นในการมัดฆาตกร จากคดีฆาตกรรมที่โด่งดังทำให้มีผู้ต้องสงสัยเกิดขึ้นมากมาย หลักฐานสำคัญต่างๆ ถูกผุดขึ้นมาภายหลัง จะเป็นไปได้มั้ยที่จะสืบสาวหาฆาตกรตัวจริงได้ แม้ฆาตกรคนนั้นคงไม่มีชีวิตอยู่ให้จับแล้ว แต่ก็ยังดีที่ได้รู้ว่าฆาตกรตัวจริงผู้นั้นคือใคร?
เหมือนกับของบอสตัน ปัจจุบันเราสามารถไปท่องเที่ยวจุดเกิดเหตุการณ์ฆาตกรรมที่นั้นได้อย่างสบายเลยแหละเพราะเขาเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแล้ว พร้อมที่ไกด์ชราที่มาเล่าความหลังสมัยยังเด็ก แถมเป็นตอนกลางคืนอีก โอ้มันสนุกอะไรเช่นนี้ อย่างกับบ้านผีสิง
อันดับ 2 : ยักษ์แห่งเกาะอีสเตอร์ (EASTER ISLAND GIANTS : EASTER ISLAND, CHILE)

เดินทางมาสัมผัสเกาะปริศนาที่โดดเดี่ยว เวิ้งว้างกลางมหาสมุทร รูปสลักหินลึกลับขนาดมหึมากว่า 800 รูป เรียงรายเต็มฝั่งทั่วเกาะ ทั้งที่ไม่มีคนอยู่ รูปสลักนี้มาจากไหน? สร้างขึ้นได้อย่างไร? อาจเป็นชาวโพลีนีเชียนชนพื้นเมืองที่มาตั้งรกรากเมื่อ ค.ศ.400 เป็นผู้สร้างขึ้น แต่ทำไมถึงสร้าง และอยู่บริเวณนี้ได้อย่างไรยังคงเป็นปริศนาดำมืด ด้วยวิวัฒนาการ ความรู้ของคนในสมัยอดีต เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะยกหินที่หนักกว่า 75 ตันมาไว้ตามชายฝั่งได้ ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม ถึงกระนั้นรูปปั้นเหล่านี้ก็ยังคงถูกทิ้งไว้เพื่อค้นหาคำตอบต่อไป
ปัจจุบันไม่รู้เขาจะเปิดหรือเปล่า แต่จากการเดาน่ะเขาคงไม่เปิดแล้วแหละเพราะรัฐบาลเขากลัวนักท่องเที่ยวมาทำความเสียหายบนเกาะนี้
อันดับ 3 : "คฤหาสน์วินเชสเตอร์" The Winchester Mystery House

คนที่อ่าน"Executional มหาสงครามออนไลน์ถล่มจักรวาล"คงร้องอ๋อกับสถานที่นี้
คฤหาสน์วินเชสเตอร์ ตั้งอยู่ที่ ซานโฮโซ แคลิฟอร์เนีย ประเทศอเมริกา ถูกสร้างในปีศตวรรษที่ 19 มันยังคงสภาพมานานเป็นเวลานานถึง 38 ปี และในปี 1974 ได้ถูกบันทึกเป็นมรดกทางประวัติศาสตร์ของประเทศ นอกจากในแง่การก่อสร้างอันพิสดารแล้วยังมีชื่อว่าเป็นบ้านผีสิงอีกด้วย
คฤหาสน์หลังนี้มีมูลค่า 5,500,000 ดอลล่าร์สหรัฐ มีห้องทั้งหมด 160 ห้อง สูง 4 ชั้น (เดิม 7) ห้องใต้ดินสองชั้น ประตู 950 บาน หน้าต่างประมาณหมื่นบาน เตาผิง 47 เตา บันได 40 ที่(376 ขั้น) และห้องจัดเลี้ยงอีก 2 ห้อง ว่ากันว่าซาร่า สร้างคฤหาสน์นี้ขึ้นเพราะผีบอกให้สร้างเอาไว้เป็นสถานที่จัดเลี้ยงผี และมีสิ่งที่แปลกก็เช่นบันไดที่ขึ้นไปโดยไม่สิ้นสุด ประตูห้องกลลวง หน้าต่างที่ไม่รู้จะสร้างมาทำไม ห้องกลไก ฯลฯ
ปัจจุบันนี้เปิดให้คนทั่วไปเข้าชม สำหรับทัวร์มีทั้งปกติในตอนกลางวันและทัวร์กลางคืน (ต้องมีไกด์นำทางกันหลง แต่ก็ระวังล่ะไกด์ก็เคยหลงมาแล้วเหมือนกัน
อันดับ 4 : สัตว์ประหลาดแห่งล็อกเนส (THE LOCH NESS MONSTER : INVERNESS, SCOTLAND)

ทะเลสาบล็อกเนส ในสก็อตแลนด์
บนโลกนี้มีเรื่องให้พิสูจน์อีกมาก อย่างที่เรากำลังจะพาไปเยี่ยมเยือนสัตว์ประหลาด แห่งทะเลสาบล็อกเนส ในสก็อตแลนด์ เรื่องเล่าที่โด่งดังเกี่ยวกับสัตว์รูปร่างประหลาด เนสซี่ ตัวใหญ่ประมาณ 15 – 40 ฟุต มักโผล่ขึ้นมาให้เห็นเป็นครั้งคราว หลายคนสนใจติดตามจับภาพสัตว์ประหลาดตัวนี้ แล้วบางอย่างก็เป็นจริง มีภาพของวัตถุลึกลับเคลื่อนไหวอยู่ในทะเลสาบชื่อก้องนี้ แต่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นตัวอะไรกันแน่ ถึงอย่างไรคนหลายคนต่างเชื่อว่า เนสซี่ สัตว์ประหลาดแห่งล็อกเนส มีรูปร่างคล้ายไดโนเสาร์ คอยาว มีครีบ นั้นมีอยู่จริง แต่เราจะได้เห็นหรือไม่คงต้องขึ้นอยู่กับตัวเนสซี่เอง
ปัจจุบันเราสามารถไปท่องเที่ยวที่นั้นได้อย่างสบายเลยแหละเพราะเขาเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแล้ว พร้อมที่พักกับกล้องส่อง กล้องวงจรต่างๆ เผื่อถ่ายติดแล้วส่งรายการเรื่องจริงผ่านจอได้เลย
http://members.thai.net/myth/seamon/nessy_1.htm

อันดับ 5 : นักฆ่ารัดคอแห่งบอสตัน (THE BOSTON STRANGLER : BOSTON, MA)

เมืองบอสตัน มลรัฐแมสซาซูเซตต์ สหรัฐอเมริกา
คดีแห่งปริศนา(เกิดขึ้น 1962-2001) ฆาตกรรมอำพราง เมื่อหลายปีก่อนถูกคลี่คลาย แต่เร็วๆนี้ถูกนำมาสอบสวนใหม่ ชนวนที่ฆาตกรที่จับได้จะใช่ฆาตกรตัวจริงหรือ?
มันฆาตกรระดับโลกอีกคนที่ถูกนำไปสร้างหนังมากที่สุดอีกคนหนึ่ง เหยื่อของมันส่วนมากเป็นหญิงชรา ผลงานของมันมีถึง 13 ศพ ทุกรายถูกทารุณกรรมทางเพศ บางครั้งโดนกัด ทุบด้วยของหนัก ถูกแทง และจัดศพแผ่หลาราวกับถ่ายหนังโป๊ ที่น่าสังเกตคือทุกศพโดนรัดคอด้วยของใช้ของผู้ตายเอง เช่น ถุงน่อง กางเกงในยืด ฯลฯ และมัดในรูปของหูกระต่ายวางที่ใต้คางเหยื่อ
คดีนี้ปิดฉากไปโดยตัวผู้รับสารภาพ อัลเบิร์ต เดอ ซาลโว แต่ต่อมาคดีฆาตกรรมปริศนาเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น เมื่อครอบครัวของหญิง 1 ในผู้ตายพบหลักฐานที่ส่อพิรุธ การรื้อคดีเป็นได้แค่การบังหน้าของตำรวจ ไม่มีความรับผิดชอบใดใดเพิ่มมากขึ้น เดอ ซาลโว จะใช่ฆาตกรตัวจริงหรือเปล่า หรือว่านักฆ่าจอมโหดผู้นี้ยังคงลอยนวลต่อไป จนบัดนี้มันยังคงเป็นปริศนา???
ปัจจุบันนี้เขายังมีการเปิดทัวร์ให้ไปเยี่ยมชมสถานที่การฆาตกรรมของเหยื่อทั้งหมดด้วยน่ะ ราคาก็ไม่แพง เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับคอฆาตกรรม สืบสวน สอบสวนได้ดีเลยแหละ
http://my.dek-d.com//story/viewlongc.php?id=205702&chapter=14

อันดับ 6 : โอเรกอน วอร์เท็กซ์ (OREGON VORTEX : GOLD HILL, OREGON)


สถานที่นี้ตั้งอยู่ในอเมริกา(ไม่บอกไม่รู้น่ะเนี้ย) ปรากฏในเคโรเระโดยน่ะจะบอกให้
พบกับสถานที่ที่ไม่ลึกลับแต่มันเป็นภาพลวงตาที่หาคำตอบไม่ได้ แนวแม่เหล็กที่ไขว้กันอยู่ใต้พื้นดิน สนามพลังผิดปกติ เมื่อคุณเข้าไปยืนในนั้นจะรู้สึกเหมือนเป็นตัวประหลาด จุดที่แม่เหล็กไขว้ทับกัน คุณรู้สึกได้ถึงความกดดัน มันผลักกันและกัน และหมุนรอบๆจนคุณทนไม่ไหว การยืด หรือหดตัวอย่างน่าใจหาย ไม่นับสถานที่แห่งนี้ยังมี โรงนาปริศนา ที่ทุกอย่างกลับตาลปัตรไปหมด ตัวของคุณจะเอียง ลูกกอล์ฟกลิ้งขึ้นเนินเองได้ ไม้กวาดตั้งได้เอง จนคุณอยากออกจากประสบการณ์แปลกประหลาดเหล่านี้สู่ โลกแห่งความจริง ที่ทุกอย่างพิสูจน์ได้
ใครอยากไปสามารถติดต่อได้ที่ The Oregon Vortex
4303 Sardine Creek L Fork RD Gold Hill, OR 97525-9732 Voice: (541) 855-1543 Fax: (541) 855-5582

อันดับ 7 : ป้อมปราสาทสยองขวัญ (The Tower of London)

สถานที่นี้ตั้งอยู่ในลอนดอนครับ มีชื่อเสียงมาก ถามใครต่างรู้จัก
จัดได้ว่าเป็นสถานที่โบราณที่มีเรื่องสยองขวัญเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะที่นั้นเป็นสถานที่ ทั้งกษัตริย์ ราชินี เชื้อพระวงศ์ ตอลอดจนขุนนางชั้นสูงต่างล้วนจบชีวิตลงที่นี้มาก โดยการตัดคอ
และมีหลายคนเห็นผีหัวขาดบ้าง ไม่ขาดบ้างปรากฏในปราสาทนี้นับครั้งไม่ถ้วนเลยครับ
ในปัจจุบันเราก็สามารถเยี่ยมสถานที่ตั้งนี้ได้อย่างสบายใจ โชคดีอาจเจอผีก็ได้น่ะ
อันดับ 8 : สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า (BERMUDA TRIANGLE : ATLANTIC OCEAN)
ความลึกลับ อาถรรพณ์ และเรื่องจริงที่เกิดขึ้นยังคงกล่าวขานถึง สู่หายนะกับสถานที่แห่งนี้ สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า มฤตยูกลางมหาสมุทรแอตแลนติก โดยอาณาบริเวณนี้กินกว้างจากฟลอริด้า-เปอร์โต ริโก-เกาะเบอร์มิวด้า มันกินพื้นที่ตั้งห้าแสนตารางไมล์
สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้านี้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่สามารถหา คำอธิบายได้ เช่น เครื่องบิน เรือ ที่ผ่านบริเวณสามเหลี่ยมมรณะถูกดูดกลืนสูญหายไปอย่าง ไร้ร่องรอยโดย ไม่ทราบสาเหตุ ทั้งที่สภาพอากาศ และทุกอย่างเป็นปกติ ไม่มีข้อสรุป คำตอบ หรือข้ออ้างให้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีเพียงแต่ปริศนาที่ยังค้างคาใจ ผู้คนจนถึงปัจจุบัน
ถ้าใครจะไปพิสูจน์ก็แขวนพระดีๆ หน่อยล่ะ
http://my.dek-d.com/cammy/story/viewlongc.php?id=219485&chapter=67
อันดับ 9 : ภาพลายเส้นนาซคา (NAZCA LINES : NAZCA, PERU)

สถานที่ท่องเที่ยวที่ต่อไปต้องบินไปถึงทวีปอเมริกาใต้ ในทะเลทรายทางภาคใต้ ที่ราบสูงของประเทศเปรูครับ
ที่นั้นมีลายเส้นพิศวงกับปริศนาจากภาพแปลกๆ มากมาย และเป็นข้อกังขาของที่มาของเรื่องทั้งหมด รูปภาพสัตว์ขนาดใหญ่ สุนัข แมงมุม ปลาวาฬ ดอกไม้ ลิง เป็ด และนกกางปีก บนชายฝั่งทางใต้ของเปรู เป็นคำถามที่คนพื้นเมืองในอดีตสร้างขึ้นเพื่อผูกปมเรื่องให้ใคร่คิด บ้างเชื่อเรื่องทางเดินสู่แหล่งน้ำของชนเผ่าต่างๆ บ้างก็เชื่อมนุษย์ต่างดาวใช้สถานที่แห่งนี้ลงจอดยานบิน หรือมันอาจเป็นส่วนหนึ่งของปฏิทินดาราศาสตร์ที่ซับซ้อน แม้จะหาข้อสรุปไม่ได้ แต่สมมติฐานทั้งหมดก็ช่วยให้เราสนใจภาพวาดเหล่านั้นยิ่งขึ้น
แต่รีบๆ ไปเที่ยวหน่อยล่ะ เพราะปัจจุบันลายเส้นพวกนี้นับวันยิ่งจางหายไปเนื่องจากรอยล้อรถของพวกนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวสถานที่แห่งนี้ลบของเดิมที่มีมาไปจนเกือบหมดแล้ว
http://my.dek-d.com/cammy/story/viewlongc.php?id=219485&chapter=97

อันดับ 10 : มนุษย์หิมะ - เยติ (The Abominable Snowman)

สถานที่นี้ก็อยู่ทวีปเอเซีย ในหุบเขาหิมาลัย ในประเทศเยติ
สถานที่นี้ได้มีการพบ อโบมิเนเบิ้ล สโนว์แมน หรือที่ชาวเซอร์ปาร์เรียกว่า เยติ มีประวัติอันยาวนานมากที่สุดในบรรดาเรื่องราวของมนุษย์วานรทั้งหมดของชาวภูเขา มันเข้าไปพัวพันอยู่ในความเพ้อฝัน ศาสนา ตำนาน เล่ห์ลวง และการค้า คนที่เคยเห็นมันเป็นบุคคลที่เชื่อถือได้ มูลของมันถูกนำมาวิเคราะห์ รอยเท้าถูกบันทึกภาพไว้และทำการตรวจสอบข้อเท็จจริง มันถูกจัดให้เป็นตำนานโดยบันทึกภาพไว้และทำการตรวจสอบข้อเท็จจริง มันถูกจัดให้เป็นตำนานโดยนักบุกเบิกในปลายยุค 1950 และ 1960 แต่ตอนนี้หลักฐานกากรดำรงอยู่ของมันดูเหมือนจะหนักแน่นขึ้นทุกวัน
นอกจากนั้นมันยังเป็นอสูรกายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเทือกเขาหิมาลัย เป็นตำนานในหมู่ของชาวเนปาล โดยเฉพาะชาวเชอร์ปาผู้ที่อาศัยอยู่บนภูเขาสูง ณ วัดแห่งหนึ่งในร่มเงาของเทือกเขา เอเวอร์เรส ท่านเจ้าอาวาสบอกว่ามักจะมีฝูงเยติมาเยือนทางวันอยู่เสมอในแต่ละปี
แต่ถ้าใครจะไปคงต้องรอหน่อยล่ะเพราะตอนนี้ประเทศเนปาลเป็นประเทศปิดแล้ว เพราะการยึดอำนาจของกษัตริย์ คงรออีกนานแหละกว่าจะเปิดประเทศ
http://members.thai.net/enlil/yeti/yeti_01.htm

วันศุกร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2551


ศุกร์ 13 วันอาถรรพ์ ?
ความเชื่อที่ว่าถ้าวันศุกร์เกิดไปตรงกับวันที่ 13 ของเดือนใดก็ตามแล้ว จะกลายเป็นวันแห่งความโชคร้ายนั้น เป็นความเชื่อที่อยู่ในบรรดาชาติที่พูดภาษาอังกฤษทั่วโลก และยังขยายไปถึงชาติอื่นๆอีกด้วย และในประเทศบางประเทศอย่าง กรีซ สเปน ถือเอาวันอังคารที่ 13 เป็นวันโชคร้ายเช่นกัน สำหรับโรคกลัววันศุกร์ที่ 13 มีชื่อเรียกว่า Paraskavedekatriaphobia หรือ paraskevidekatriaphobia หรือ friggatriskaidekaphobia ซึ่งเป็นอาการหนึ่งของโรค triskaidekaphobia คือ โรคกลัวหมายเลข 13จุดเริ่มต้นความเชื่อเรื่องศุกร์ 13 นั้น เชื่อมโยงกับความเชื่อที่ว่ามีคน 13 คนร่วมทานอาหารมื้อสุดท้ายกับพระเยซู (The Last Supper) ก่อนที่พระองค์จะถูกนำตัวไปตรึงบนไม้กางเขนในวันศุกร์ประเสริฐ (Good Friday) กระนั้น ไม่มีหลักฐานใดที่บ่งชี้ว่า ประชาชนถือเอาว่าวันศุกร์ที่ 13 เป็นวันโชคร้ายจนเมื่อมาถึงศตวรรษที่ 19 อย่างไรก็ตาม หมายเลข 13 มีประวัติว่ามีความเกี่ยวข้องกับเรื่องโชคร้ายมายาวนาน เนื่องจาก ตามปฏิทินจันทรสุริยคติแล้ว ในบางปีต้องมีเดือน 13 เดือน ขณะที่ตามปฏิทินเกรกอเรียนและปฏิทินของศาสนาอิสลามจะมี 12 เดือนเสมอขณะที่บ้างก็ว่า ความเชื่อนี้มีจุดเริ่มต้นมาจากความเชื่อและตำนานของชาวนอร์สในดินแดนสแกนดิเนเวียที่เรียกว่า Norse myth เกี่ยวกับเทพ 12 องค์ มารวมกันจัดงานเลี้ยงในห้องโถงของเอกีร์ เทพแห่งมหาสมุทร แต่แล้วเทพแห่งไฟที่ชื่อ โลกิ ซึ่งไม่ได้รับเชิญมาร่วมงานจึงพังประตูรั้วเข้ามาร่วมงานในฐานะแขกคนที่ 13 และยังให้เทพฮอดซึ่งเป็นเทพแห่งความมืดมิดซึ่งตาบอดโยนกิ่งของพืชกาฝากใส่ บาลเดอร์ เทพแห่งความสุขและความยินดี จนบาลเดอร์สิ้นลมหายใจไปในทันที ทำให้โลกต้องตกอยู่ในความมืดมิดและความเศร้าสลดกระนั้น ความเชื่อนี้มีผู้แย้งว่าเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากข้อความในบทกวีโลกาเซนนาที่เป็นภาษาโอลด์นอร์สได้มีการกล่าวถึงชื่อเทพ 17 องค์ที่ไปร่วมงานเลี้ยงดังกล่าว ซึ่งระบุว่าเทพโลกิเป็นผู้พังประตูรั้วเข้าไปจริง แต่ว่าเขาไม่ใช่คนที่ 13 และยังไม่มีความเชื่อมโยงระหว่างบทดังกล่าวกับการถึงจุดจบของเทพบาลเดอร์อีกด้วยด้วยเหตุนี้ คำอธิบายในข้อแรกจึงดูมีความเชื่อมโยงกับเรื่องความโชคร้ายของเลข 13 ที่เก่าแก่ที่สุดในอังกฤษ ซึ่งมีการบันทึกเอาไว้ในศตวรรษที่ 18 โดยเชื่อกันว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่คน 13 คนมานั่งทานอาหารร่วมโต๊ะเดียวกันแล้ว คนที่ลุกจากโต๊ะไปเป็นคนแรกจะเป็นคนแรกที่ต้องตายอีกทฤษฏีที่กล่าวถึงวันศุกร์ที่ 13 ระบุว่า วันศุกร์ที่ 13 ตุลาคม 1307 เป็นวันที่พระเจ้าฟิลิปที่ 4 แห่งฝรั่งเศส ทำการจับกุมตัวบรรดาอัศวินเทมพลาร์ชาวฝรั่งเศสจำนวนหลายร้อยคนไป ก่อนจะนำตัวไปทรมานและสังหาร เพื่อนำทรัพย์สินของพวกเขามาเป็นของฝรั่งเศสทั้งนี้ เรื่องที่น่าแปลกเกี่ยวกับวันศุกร์ที่ 13 คือ มีหลักฐานที่ยืนยันว่า วันศุกร์ที่ 13 เป็นวันโชคร้ายสำหรับใครบางคนจริงๆ โดยนักจิตวิทยาพบว่า ในบางคนจะมีโอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุหรือล้มป่วยในวันศุกร์ที่ 13 ซึ่งมีการให้เหตุผลเอาไว้ว่าเป็นเพราะบางคนรู้สึกวิตกจริตเป็นอย่างมากในวันศุกร์ที่ 13 โดยทางศูนย์จัดการความเครียดและสถาบันอาบำบัดการกลัวในเมืองแอชวิลล์ มลรัฐนอร์ทแคโรไลนา ประเมินว่าในแต่ละครั้งที่มีวันศุกร์ที่ 13 สหรัฐอเมริกาต้องสูญเสียทางเศรษฐกิจเป็นเงิน 800 900 ล้านเหรียญสหรัฐฯทีเดียว เพราะว่าประชาชนบางคนไม่กล้าเดินทางไปไหนและไม่กล้าแม้แต่จะไปทำงาน

วันเสาร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2551

เผย 10 วิธี "กินให้มีสุขยุคอาหารแพง" ลดโรคความดันโรหิตสูง-หัวใจ- อ้วน กรมอนามัย เผย 10 วิธีกินให้มีสุขยุคอาหารแพง พร้อมลดปัจจัยเสี่ยงด้านสุขภาพและเพิ่มคุณค่าทางโภชาการในแต่ละมื้อ หวังสร้างสุขภาพดี ลดปัญหาโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และโรคอ้วน
นพ.ณรงค์ศักดิ์ อังคะสุวพลา อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยถึงวิธีการกินอย่างมีสุขภาพดีในยุค อาหารแพง ว่า ปัจจุบันการดำเนินชีวิตและการดูแลสุขภาพจำเป็นต้องยึดหลักความเหมาะสมและพอเพียง โดยเฉพาะปัญหาด้านสาธารณสุขที่เกิดจากการกินอาหารในปริมาณมากเกินไป ไม่ถูกหลักโภชนาการ ส่งผลให้เกิดภาวะโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง และโรคอ้วนลงพุงตามมา ซึ่งเป็นปัญหาที่กรมอนามัยจำเป็นต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วน เพราะคนที่อ้วนลงพุงเป็นโรคเบาหวานมากกว่าคนไม่อ้วนลงพุง 3 เท่า มีความดันโลหิตสูงและไขมันคอเรสเตอรอล ซึ่งเป็นไขมันตัวร้ายมากกว่า 2 เท่าตัว และคนอ้วนลงพุงจะเสียชีวิตจากโรคหัวใจวายมากกว่าคนทั่วไปถึง 2 เท่าตัว
นพ.ณรงค์ศักดิ์ กล่าวต่อว่า เพื่อลดปัญหาและสร้างสุขภาพดีให้กับตนเอง ประชาชนจึงควรนำหลักพอเพียงมาใช้ในการกินอาหารแต่ละมื้อด้วย โดยกินเพื่อให้ได้สารอาหารและพลังงานที่เพียงพอกับความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน หากรู้สึกอิ่มให้ลดหรืองดการกินเพราะความอยาก ความอร่อย กินอาหารเพื่อบำรุงร่างกายให้แข็งแรง ไม่กินแล้วทำร้ายร่างกาย เช่น กินมากไป น้อยไป หรือกินอาหารรสหวาน เค็ม มันมากไป หรือสร้างพฤติกรรมการกินอย่างง่ายภายใต้หลัก 10 วิธีกินในยุคอาหารแพง ได้แก่
1) กินพออิ่มในแต่ละมื้อ โดยตักอาหารกะปริมาณพอดี เช่น ตักข้าวสวย 1-2 ทัพพี ผัก 4-6 ช้อนกินข้าว เนื้อสัตว์ 2-3 ช้อนกินข้าว แล้วตามด้วยผลไม้ 1-2 ส่วน ตามด้วยน้ำสะอาด 1-2 แก้ว ก็เพียงพอ
2) ดัดแปลงอาหารที่เหลือเป็นอาหารจานใหม่ เช่น ผัดคะน้า นำมาต้มจับฉ่ายผสมกับผักอื่น ๆ น้ำแกงส้มที่เหลือสามารถเติมถั่วฝักยาวมะละกอ แครอท ผักบุ้ง ส่วนผลไม้ที่เหลือหลายชนิดนำมาทำเป็นสลัดผลไม้ หรือ ปลาทูที่เหลือนำมาตำน้ำพริกปลาทูกินกับผักสด ผักลวกต่าง ๆ ทำให้ได้อาหารจานใหม่ และใช้ประโยชน์จากอาหารได้คุ้มค่าไม่มีอาหารเหลือทิ้ง
3) ทำอาหารปริมาณมากกินได้หลายมื้อ เช่น ต้มไข้พะโล้หนึ่งหม้อกินได้ทั้งวัน อาจเติมหน่อไม้จีนหรือผักอื่น ลงไปด้วยหรือกินร่วมกับผักสด เช่น แตงกวา ผักกาดหอมหรือผักกาดขาวหรือคะน้าลวก
4) หุงข้าวผสมข้าวโพด ถั่ว เผือก มัน ใส่เพื่อเพิ่มวิตามินและยังได้สารอาหารอื่น ๆ เพิ่มด้วย และตอนนี้ข้าวราคาแพงจึงใส่ข้าวโพด ถั่ว เผือก มัน เสริมเข้าไปในข้าว จะทำให้ใช้ข้าวในปริมาณน้อยลงด้วย
5) ปรับเมนูอาหารคุณภาพดีราคาถูก เช่น ไข่พะโล้ เพราะปกติใส่หมูกับไข่เท่านั้น ก็เปลี่ยนจากหมูมาเป็นเต้าหู้แทนก็ได้
6) ลดการกินจุบกินจิบ กินอาหารหลัก 3 มื้อก็เพียงพอแล้ว อาหารว่างเป็นผลไม้หรือนม
7) งดการกินอาหารมื้อดึก เพราะถ้ากินอาหารมื้อดึกเข้าไปแล้วในช่วงเวลานั้นไม่มีการออกกำลังกายหรือเคลื่อนไหวร่างกายใด ๆ มีแต่การนอนทำให้ร่างกายเผาผลาญอาหารที่กินไปน้อยมากและจะสะสมเป็นไขมันแทนทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นได้
8) เคี้ยวอาหารช้าๆ อย่ารีบร้อน ซึ่งจะทำให้รู้สึกอิ่มเร็วกว่าเพราะร่างกายคนเราจะเริ่มรู้สึกอิ่มเมื่อกินอาหารไปประมาณ 20 นาที
9) ไม่กินทิ้งขว้าง เพราะปัจจุบันอาหารเกือบทุกชนิดมีราคาสูง และ
10) เน้นกินอาหารไทย เช่น ข้าวราดแกง ก๋วยเตี๋ยว ขนมจีน แทนอาหารจานด่วนตะวันตก นอกจากราคาถูกกว่าแล้วยังให้สารอาหารครบถ้วนและสมดุล” นพ.ณรงค์ศักดิ์ กล่าว
อธิบดีกรมอนามัย กล่าวด้วยว่า สิ่งสำคัญสำหรับการกินอาหารให้ได้คุณค่าโภชนาการคือควรกินอาหารในแต่ละมื้อให้ครบ 5 หมู่ คือ อาหารประเภทแป้ง ไขมัน เนื้อสัตว์ ผักและผลไม้ที่ให้วิตามินและแร่ธาตุ สำหรับประเภทเนื้อสัตว์นั้นจะเน้นให้กินปลา เนื้อสัตว์ที่ไม่ติดมัน ไข่ ถั่วประเภทต่าง ๆ และเมล็ดธัญพืชเป็นประจำ นอกจากอาหารหลัก 5 หมู่แล้ว ควรได้รับอาหารประเภทเมนูชูสุขภาพใน 4 กลุ่ม คือ กลุ่มอาหารที่ให้ใยอาหารสูงเพื่อช่วยให้การขับถ่ายสะดวกขึ้น อาหารที่อยู่ในกลุ่มวิตามินเอและธาตุเหล็กสูง เพื่อช่วยเพิ่มความต้านทานโรคทำให้ร่างกายแข็งแรงและช่วยการเจริญเติบโตของเด็ก อาหารในกลุ่มแคลเซียมเพื่อป้องกัน โรคกระดูกเปราะบาง และกลุ่มอาหารที่มีไขมันต่ำ ประชาชนผู้บริโภคจีงควรตระหนักและรู้จักเลือกกินอาหารที่เหมาะสมในยุคเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อสุขภาพที่ดีของตนเอง