วันอาทิตย์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2552
วันจันทร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.จอห์น เฮย์บอลล์ กับคณะ กำลังศึกษาค้นคว้า สร้างวัคซีนเพื่อป้องกันโรคมะเร็งพวกที่เกิดจากไวรัส อย่างเช่น โรคเอดส์ โรคไวรัสตับอักเสบชนิด บี และโรคจากเชื้อไวรัสหูด ไวรัสนี้เป็นตัวการก่อให้ เกิดโรคมะเร็งถึงร้อยละ 20 "ถ้าหากเราสามารถป้องกันไม่ให้ติดเชื้อนี้ได้ ก็จะมีทางที่จะลดจำนวนผู้ป่วยโรคมะเร็งลงได้ถึง 1 ใน 5 นับเป็นความก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว"
หมอจอห์นกล่าวต่อไปว่า "เราหวังว่าจะพัฒนาเทคโนโลยีหลัก เพื่อก่อรูปของวัคซีนซึ่งไม่แต่เพียงเพื่อป้องกันเท่านั้น หากยังรักษาโรคเรื้อรังต่างๆ อันเกิดจากไวรัส หลังจากที่มันได้ยึดที่มั่นอยู่ในตัวคนได้ แล้วด้วย"
พ.ญ.สุขจันทร์ พงษ์ประไพ รองนายกสมาคมแพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูแห่งประเทศไทย และหัวหน้าแพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู โรงพยาบาลวิชัยยุทธ กล่าวถึงปัญหาสุขภาพเกี่ยวกับการปวดหลังเรื้อรังและการรักษาว่า ในช่วงหนึ่งของชีวิตคนทุกคนมีโอกาสเกิดอาการปวดหลังได้ไม่มากก็น้อย จากสาเหตุต่างๆ รอบตัวที่เราอาจคาดไม่ถึงหรือมองข้ามไป มีรายงานการสำรวจในต่างประเทศว่า ร้อยละ 80 ของประชากร ประสบปัญหาการปวดหลัง โดยร้อยละ 70 มักจะหายจากอาการภายใน 3 สัปดาห์ ร้อยละ 80-90 มักจะหายภายใน 3 เดือน และมีผู้มีอาการปวดหลังประมาณร้อยละ 10-20 จะแปรเปลี่ยนไปเป็นภาวะ "การปวดหลังเรื้อรัง" สาเหตุของการปวดหลัง เกิดจากความผิดปกติของโครงสร้างกระดูกสันหลัง ความไม่สมดุลของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นรอบๆ ข้อต่อกระดูกสันหลัง และความผิดปกติของระบบประสาท ดังนั้น การรักษาอาการปวดหลังของสาเหตุดังกล่าวข้างต้น เมื่อวินิจฉัยได้แล้วก็รักษาอาการตามสาเหตุที่พบ แต่บ่อยครั้งผู้ที่มีอาการปวดหลังไม่สามารถวิเคราะห์หาสาเหตุได้ชัดเจน ต้องอาศัยการรักษาตามอาการ หลักการรักษา ได้แก่ การลดความเจ็บปวดโดยการใช้ยา การรักษาทางกายภาพบำบัด หรือทางเลือกอื่นๆ เช่น การฝังเข็ม การนวด และไคโรแพรคติก เป็นต้น จากนั้นต้องมีการรักษาแก้ไขความไม่สมดุลของกล้ามเนื้อ โดยลดความตึงของกล้ามเนื้อ เพิ่มความแข็งแรงและทนทาน และเพิ่มความฟิตของร่างกาย นอกจากนี้ต้องมีการแนะนำให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการเกิดอาการปวดหลัง ทั้งการนอน นั่ง ยืน เดิน รวมถึงการทำงานและการเล่นกีฬาที่เหมาะสม สำหรับการรักษาด้วยการผ่าตัด มีเพียงประมาณร้อยละ 3-5 ที่เลือกใช้วิธีนี้ ซึ่งจะต้องมีข้อบ่งชี้และตรวจได้อย่างชัดเจนว่า กระดูกสันหลังไม่มั่นคง เป็นเนื้องอก หรือมะเร็งบางชนิด ช่องกระดูกสันหลังตีบอย่างรุนแรง มีกล้ามเนื้ออ่อนแรงของขาข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้างเพิ่มมากขึ้นอย่างชัดเจน หรือการควบคุมระบบขับถ่ายผิดปกติ การปวดหลังเรื้อรังและการผ่าตัดทำให้ทุเลาปวดลงได้ แต่การป้องกันไม่ให้เกิดอาการปวดหลังนั้นเป็นสิ่งสำคัญ ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตนอย่างถูกต้องเหมาะสม ตามที่แพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์แนะนำ ร้อยละ 80 ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตัวของผู้ป่วย และร้อยละ 20 ขึ้นอยู่กับผู้รักษา ด้าน ดร.มนต์ทณัฐ โรจนาศรีรัตน์ ไคโรแพรคติกแพทย์ จากสมาคมการแพทย์ ไคโรแพรคติกแห่งประเทศไทย กล่าวถึงโรคหมอนรองกระดูกเคลื่อนว่า หมอนรองกระดูกเป็นหนึ่งในอวัยวะที่สำคัญที่สุดของร่างกาย ทำหน้าที่คล้ายถุงน้ำหุ้มกระดูกอ่อน ภาวะผิดปกติของหมอนรองกระดูกเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นพันธุกรรม อุบัติเหตุ โรคติดเชื้อต่างๆ ไปจนถึงการทำงานผิดปกติ หรือการรับน้ำหนักที่มากเกินไป
ทั้งสองสาเหตุนี้ถือเป็นสาเหตุสำคัญที่สืบเนื่องมาจากอิริยาบถที่ผิดสุขลักษณะและเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ทั้งจากการนั่ง ยืน ก้ม เงย เอียงตัวไปมา หรือแม้แต่การออกกำลังกาย เมื่อร่างกายของเราปราศจากการทำงานของหมอนรองกระดูกที่สมดุลแล้ว จะส่งผลเสียต่อการเคลื่อนไหวร่างกายในรูปแบบต่างๆ ทั้งการรับแรงกระแทก และการถ่ายเทสารอาหารสู่ข้อต่อต่างๆ จะไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ จนในที่สุดหมอนรองกระดูกจะเสื่อมสภาพและเคลื่อนไปจากตำแหน่งปกติ เราเรียกภาวะเช่นนี้ว่า "โรคหมอนรองกระดูกเคลื่อน" "ภาวะหมอนรองกระดูกผิดปกติ" จะส่งผลต่อร่างกายในรูปแบบอื่นๆ อีกมาก เช่น การปวดหลังเฉียบพลัน การปวดลงขา เกิดอาการชาตามตัว กล้ามเนื้ออ่อนแรง รวมถึงการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ การรักษาความผิดปกติเช่นนี้ทำได้โดยการจัดโครงสร้าง กินยา ทำกายภาพบำบัด และการผ่าตัด แต่การแพทย์ในปัจจุบันนี้คิดค้นเทคนิคใหม่ๆ โดยไม่ต้องอาศัยการผ่าตัด คือใช้วิธีลดการกดทับของหมอนรองกระดูก หรือที่เรียกว่า Spinal Decompression Therapy (SDT) แทน วิธีนี้จะช่วยลดภาวะการรับน้ำหนักที่มากเกินไปของหมอนรองกระดูก และช่วยจัดเรียงแนวกระดูกสันหลัง และฟื้นฟูบริเวณหมอนรองกระดูกให้คืนสู่ภาวะสมดุลได้ ปิดท้ายที่ น.พ.อาลี เอส โมฮัมเมด แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอาการปวดจากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา กล่าวถึง เทคโนโลยีการรักษาที่เรียกว่า Spinal Decompression Therapy (SDT) ว่า เป็นการรักษาแบบใหม่ด้วยระบบคอมพิวเตอร์สำหรับอาการปวดคอ ปวดหลังเรื้อรัง และอาการปวดร้าวลงขา การรักษาด้วยระบบนี้ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ปราศจากความเสี่ยงจากการฉีดยา การใช้ยาสลบและการผ่าตัด เพราะออกแบบมาให้ลดแรงกดทับบนโครงสร้างที่อาจทำให้เกิดอาการปวดเรื้อรังบริเวณกระดูกสันหลังได้ บรรเทาอาการปวดที่เกิดจากหมอนรองกระดูกเคลื่อน หมอนรองกระดูกเสื่อม และอาการปวดร้าวลงขา เป็นเครื่องมือที่ช่วยปรับกระดูกสันหลัง ลดแรงกดทับที่หมอนรองกระดูก และเส้นประสาทไขสันหลัง ช่วยรักษาบริเวณหลังให้กลับสู่ภาวะสมดุลได้เองโดยธรรมชาติ SDT เป็นระบบที่ใช้เทคโนโลยีล่าสุดที่สามารถตั้งโปรแกรมในการดึง ขณะเดียวกันยังทำตามความโค้งธรรมชาติของกระดูกสันหลัง ผู้ป่วยส่วนมากพบว่าอาการปวดและอาการอื่นๆ บรรเทาลงและลดลงอย่างต่อเนื่องระหว่างการบำบัดรักษา
อ่ะ...มาเริ่มกันเลยดีกว่าครับ ตามมาๆๆๆ
ข้อที่ 1. น้องๆต้องใส่ใจเรื่องรายละเอียดเล็กๆน้อยๆก่อนเลยล่ะ ดูซิ!!!ว่าวิชาไหนน่ะที่เราต้องสอบเป็นอันดับแรกๆ หยิบวิชานั้นขึ้นมาก่อนเลย เตรียมไว้นะค่ะ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือที่เกี่ยวกับวิชาที่จะสอบ ชีท เอกสารต่างๆ หรือแนวข้อสอบ(อันนี้สำคัญนะค่ะ หาให้เจอล่ะ) ค้นเลยๆ ทุกวิชานะค่ะ
ข้อที่ 2.แยกหมวดหมู่แต่ละวิชา ก่อน-หลัง แล้วหาที่วางไว้อย่างเป็นระเบียบด้วยล่ะ
ข้อที่ 3.เตรียม ดินสอ/ปากกา สมุด และปากกาเน้นข้อความไว้ด้วยนะ
ข้อที่ 5.เริ่มอ่านวิชาที่จะต้องสอบก่อนเป็นวิชาแรกเลยค่ะ ตรงนี้แหละสำคัญมาก น้องๆอย่าอ่านๆๆๆๆๆแล้วก็อ่านเพื่อให้จบ แบบผ่านๆนะค่ะ ต่อให้น้องๆอ่านสัก 10 รอบแล้วบอกคนอื่นๆว่า "ก็เค้าอ่านเป็นสิบๆรอบแล้วอ่ะ แต่ทำไมทำข้อสอบไม่ได้เลยน่ะ?" อ่ะๆๆๆ!!! อ่านสัก 100 รอบก็ไม่ช่วยอะไรหรอกเจ้าค่ะ อ่านแล้วต้องทำความเข้าใจไปด้วย ตรงไหนที่คิดว่าสำคัญๆ น้องๆก็เน้นตรงจุดนั้นไว้ อาจจะใช้วิธีการจดบันทึกไว้ หรือ เน้นข้อความด้วยปากกาสีต่างๆก็ได้ค่ะ เพื่อว่าจะได้กลับมาอ่านอีกครั้ง
ข้อที่ 6.นั้นงัยๆๆๆพี่บอกไปตะกี้เองนะค่ะว่าอย่าอ่านแบบผ่านๆ ดูสิ!!!น้องๆลองกลับไปอ่านข้อ 3 ใหม่สิค่ะ แล้วดูซิว่าที่ต่อจากข้อ 3 นะเป็นข้อที่เท่าไหร่ ข้อที่ 4หายไปๆๆๆๆ ส่วนน้องๆคนไหนสังเกตเห็นก่อนที่พี่เฉลย น้องก็ไม่มีปัญหาในเรื่องของการอ่านหนังสือแล้วละค่ะ เก่งมากๆเลย ส่วนน้องๆคนไหนที่ไม่ทันได้สังเกต ก็เอาจุดนี้เนี่ยแหละค่ะไปลองปรับใช้กับการอ่านหนังสือดูตามที่พี่บอกไว้ในข้อที่ 5 นะค่ะ
ข้อที่ 7.อ่ะ ต่อๆๆ การไม่ปล่อยให้ท้องว่างก็เป็นสิ่งสำคัญนะค่ะ ถ้าน้องๆอ่านๆๆๆหนังสืออย่างเดียวจนลืมทานข้าวแล้วละก็ นอกจากน้องๆจะอ่านหนังสือไม่รู้เรื่องแล้ว อาจจะทำให้ป่วย และทำให้เป็นโรคกระเพาะได้ด้วยนะจ๊ะ สำคัญเลย ต้องหาอะไรทานเมื่อท้องว่างด้วยน้า...อย่าทรมาณตัวเองละ
ข้อที่ 8.ในการอ่านหนังสือ น้องๆควรเลือกเวลาที่รู้สึกว่าสมองเราพร้อมจะทำงานด้วยนะจ๊ะ แล้วเมื่อน้องๆรู้สึกว่าเริ่มอ่านไม่ไหวแล้วล่ะ อ่านนานมากไปทำให้ปวดตา ปวดหัว ให้น้องๆพักก่อน อาจจะหาอย่างอื่นทำ เช่นพักสายตาโดยการหาเพลงเพราะๆฟัง(อ่ะๆๆๆเลือเพลงที่ฟังแล้วจรรโลงใจด้วยละ ถ้าฟังเพลงที่หนักไป อาจทำให้ยิ่งปวดหัวมากกว่าเดิม ไม่รู้ด้วยนะเจ้าค่ะ) จะดูทีวี เล่นเกม หรือกิจกรรมอื่นๆที่ทำแล้วผ่อนคลายก็หามาลองทำกันดูนะเจ้าค่ะ แต่ๆๆๆๆแล้วก็แต่...อย่าพักจนเพลินละ เมื่อถึงเวลาที่ร่างกายผ่อนคลายเพียงพอแล้วก็กลับเข้าสู่โหมดการอ่านหนังสือต่อเลยยย (เอาน่าๆทนเอาหน่อยนะเจ้าค่ะ สอบไม่ได้มีมาบ่อยๆ ตั้งใจให้สุดๆไปเลย)
ข้อที่ 9.นั้นแน่ๆ พี่รู้นะว่าน้องๆเริ่มใส่ใจในรายละเอียดในการอ่านกันบ้างแล้ว คงคิดใช่มั้ยละ ว่าพี่จะแกล้งทำให้ข้อไหนหายไปอีกน่ะ!!! ดีแล้วค่ะถ้าน้องๆคิดแบบนี้นะ เป็นการฝึกตัวเองไปด้วย ให้เป็นคนรอบคอบ ดีค่ะๆ อ่ะต่อๆ
ข้อที่ 10.อ้า....อ่านไม่ทันแล้วอ่ะ!!!ทำไงดีๆ เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับเพื่อนๆคนอื่นๆเกือบทุกคนละค่ะ ที่สำคัญเลย อย่าตื่นเต้นจนรนล่ะ ตั้งสตินะค่ะตรงนี้สำคัญมากๆเลย ให้น้องๆหยุดอ่านหนังสือต่อสักพักนึง แล้วดูซิว่า...พรุ่งนี้เราสอบวิชาอะไรบ้าง แล้วหยิบวิชาที่สอบเป็นวิชาแรกมาอ่านทบทวนก่อนเลย แล้วก็ทบทวนวิชาอื่นๆต่อไป (ตรงถ้าคิดว่ากลัวอ่านไม่ทันรอบทบทวนให้น้องๆอ่านในส่วนที่เน้น ที่สำคัญๆเอาไว้ก่อนเลย จำได้มั้ยเอ๋ยว่าในการอ่านรอบแรกพี่ให้น้องๆจดบันทึกที่สำคัญๆไว้ที่คิดว่าน่าจะออก หรือส่วนที่มันยาก จำไม่ได้ก็นำมาอ่านก่อนเลย ตรงส่วนไหนที่น้องๆจำได้ หรือเข้าใจก็เปิดผ่านๆเลยค่ะ ตอนนี้เราต้องทำเวลาแหละน่ะ)
ข้อที่ 11.เอาละ...อ่านหนังสือสอบก็ต้องฟิสหน่อย น้องๆบางคนอาจจะอ่านหนังสือเร็วและเข้าใจง่ายทำให้การอ่านหนังสือไม่ค่อยมีปัญหาเลยก็ดีไป ส่วนน้องคนไหนเป็นคนที่อ่านหนังสือช้าก็ต้องขยันกว่าคนอื่นๆหน่อยแล้ว อาจจะทำให้อ่านหนังสือไม่ทัน ทำให้ต้องนอนดึกหน่อย ก็อย่าลืมดูแลตัวเองนะค่ะ หานมอุ่นๆหรือของว่างทานสักนิดนึง ใส่ใจในสุขภาพหน่อยนะค่ะ เพราะเดี๋ยวน้องๆอาจป่วยได้ แล้วเป็นงัยน่ะ ไปสอบไม่ได้ แย่เลยน่ะเจ้าค่ะ สำคัญเลย ถ้าอ่านหนังสือไม่ทันแล้วจริงๆ แต่ร่างกายเราไม่ไหวแล้ว อย่าฝืนนะค่ะ ได้แค่ไหนก็เอาแค่นั้น รีบเตรียมตัวเข้านอนกันดีกว่าค่ะ ตื่นเช้ามาจะได้สดชื่น แถมถ้าเราตื่นเร็ว ก็จะมีเวลาอีกนิดในการทบทวนก่อนเข้าห้องสอบนะค่ะน้องๆ
วันจันทร์ที่ 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551
Les personnes atteintes peuvent aussi présenter des signes de psychose et de délire.
Le taux de suicide est au Danemark trois à dix fois plus élevé chez les personnes âgées atteintes de démence, après que cette maladie ait été diagnostiquée chez elles, probablement parce qu'elles connaissent l'évolution de la maladie ; Ces sujets ne veulent pas devenir un poids pour leurs proches suite à la perte de leurs capacités cognitives. Celui qui passe à l'acte laisse généralement préalablement entendre qu'il pense qu'il serait meilleur pour ses proches qu'il soit mort, notent les chercheurs.
Même sans diagnostic médical de démence prélable, le déclin lent des fonctions cognitives (d'origine démentielle ou non) d'un patient peut entraîner une dépression authentique.
Les troubles cognitifs modérées atteindraient un peu moins du quart des personnes âgées de plus de 70 ans aux États-Unis. L'évolution vers un tableau démentiel concernerait 10 % de ces personnes par an.
Les corps de Lewy sont des structures anormales des cellules du cerveau retrouvées sous le cortex cérébral et à l'intérieur même des neurones de celui ci. La façon dont se constituent ces corps est inconnue.
La démence dite à corps de Lewy peut débuter de la même façon que la maladie d'Alzheimer : déficit cognitif progressif, troubles de l'attention, hallucinations visuelles en association avec un syndrome extrapyramidal. (Les troubles amnésiques affectant surtout la mémoire de récupération) Toutefois, la maladie peut se déclarer pour certains patients par un syndrome parkinsonien... Diagnostic qui pourra être écarté par l'inefficacité de la L-DOPA.
La sensibilité des patients aux neuroleptiques est possible mais l'utilisation d'inhibiteurs de cholinestérase apporterait une amélioration en l'absence actuelle d'un traitement curatif.
วันอาทิตย์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2551
1898 : le « Brad’s Drink » devient « Pepsi-Cola ». Caleb D. Bradham dépose la marque en 1902.
1903 : Bradham a déplacé la mise en bouteilles de Pepsi-Cola de sa pharmacie dans un entrepôt loué. Cette année, Bradham a vendu 7 968 gallons (30 162 litres) de sirop. L'année suivante, les ventes de Pepsi, vendu six once la bouteille, atteignaient 19 848 gallons (75 133 litres).
1923 : Le fabricant de Pepsi fait faillite à cause des prix élevés du sucre en raison de la Première Guerre mondiale. Des capitaux ont été vendus et Roy C. Megargel racheta la marque de commerce.
1931 : Pepsi retomba en faillite. Elle fut alors rachetée par G. Guth, le président de la compagnie sucrière Loft Industries.
1936 à 1938 : Pendant la crise économique, les bénéfices de Pepsi ont doublé.
1940 : Pepsi lance la première campagne radiophonique de l'histoire, dont le célèbre slogan était : « Twice as much for a nickel », c'est-à-dire « Deux fois plus pour un nickel » (pièce de cinq cents aux États-Unis).
1964 : Pepsi lance le premier cola « light » de l'histoire : Pepsi Diet.
1965 : Pepsi est le premier produit américain à franchir le rideau de fer et à pénétrer sur le territoire soviétique.
1975 : Pepsi lance le premier défi de goût de cola et le gagne par 58,8 % des voix.
1975 : Pepsi lance la première bouteille en plastique de l'histoire.
1984 : Pepsi lance le premier partenariat avec une vedette musicale : Michael Jackson. Cette date marque le début d'une longue série d'associations avec des personnalités de la musique, du sport et du cinéma : Lionel Richie, Tina Turner, David Bowie, Magic Johnson, Shaquille O'Neal, Cindy Crawford ou, plus récemment, les Spice Girls, Christina Aguilera, Kanye West, Shakira, Britney Spears, Janet Jackson, Beyoncé, Pink, David Beckham, Thierry Henry, Eva Longoria.
1994 : Arrivée en France de Pepsi Max, le premier cola sans sucre de la marque, lancé pour concurrencer son grand rival le Diet Coke de Coca-Cola introduit, lui, en 1982.
2003 : Lancement en France de Pepsi Twist : un design révolutionnaire et un zeste de citron en plus.
2003 : Pepsi innove avec le premier cola bleu du marché : Pepsi Blue.
2006 : Une femme, Indra Nooyi, devient directeur général du groupe, qui est désormais le 2e groupe agroalimentaire mondial, bien devant Coca-Cola.
2007 : Pepsi innove avec le relancement en France de Pepsi Light, avec un packaging rose, entièrement ciblé féminin.
En 2006, Pepsi lance une campagne d’affichage publicitaire où il faut allumer ses écouteurs pour entendre l'annonce (Music spot publicitaire). Voici en attendant le nouveau concept publicitaire qu'inaugure Pepsi au Canada dans les métros de Toronto et Vancouver.
En 2006 toujours, Pepsi rivalise d’imagination à quelques mois de la Coupe du Monde 2006, en Allemagne du 9 juin au 9 juillet 2006 et dont son rival Coca-Cola sera le partenaire officiel, en lançant sa campagne de « partenaire non officiel » du football. Pour cette occasion, Pepsi lance une bouteille de couleur or symbolisant la coupe du monde de football et un spot publicitaire mettant en scène une équipe de rêve (Dream Team), composée de Thierry Henry, David Beckham, Ronaldinho, Roberto Carlos… contre une équipe de danseurs bavarois.
Le groupe PepsiCo s'est très fortement diversifié au fil de ces dernières années, avec une volonté marketing de se tourner vers des produits "sains". Les autres marques du groupes sont entre autres : Doritos, Lay's, Benenuts, 3Ds, Quaker, Tropicana, Kas, Mirinda, Aquafina...
Pepsi Diet : 1964 premier cola light.
Pepsi A-ha : Pepsi aromatisé au citron vendu en Inde.
Pepsi AM : Contenant plus de caféine par rapport a un Pepsi classique, il est lancé sur le marché comme boisson matinale.
Pepsi Blue : Pepsi coloré en bleu et ayant ne saveur de Framboise Bleues.
Pepsi Carnaval : Pepsi fruité tropical, disponible au Japon pendant une période limitée qui débuta à l’été 2006.
Pepsi Fire : Une variété aromatisée à la cannelle qui est vendue en Thaïlande, au Mexique, en Malaisie, et aux Philippines.
Pepsi Free : Présenté en 1982 par PepsiCo comme cola décaféiné, il est aujourd'hui vendu sous le nom de Pepsi décaféiné.
Pepsi Gold : Édition limitée colorée en or en tant qu'élément d'une promotion de la coupe du monde de 2006 de football. Distribué en France, en Thaïlande, en Roumanie, en Pologne, en Suède, au Danemark, en Norvège, en Jamaïque, au Liban, en Turquie, au Venezuela, en Malaisie. et en Algérie
Pepsi Light : Variété de Pepsi dont la recette est réduite en sucre.
Holiday Spice : Une édition limitée que la compagnie a commencé à vendre le 1er novembre 2004 aux États-Unis et au Canada pendant une période de huit semaines (il n'a pas été remis en vente depuis). Elle est aromatisée avec du gingembre et de la cannelle.
Pepsi Ice : Vendu en Thaïlande, en Malaisie, et aux Philippines.
Pepsi Lime : Présenté sur le marché au printemps de 2005.
Pepsi Max : Variété "sans sucre", disponible en dehors des États-Unis.
Pepsi Max Cool Lemon : Aromatisé au citron.
Pepsi Max Cinnamon : Édition limitée de Noël 2005, à saveur de cannelle.
Pepsi Max Cino : (R-U - Pepsi Max avec du café)
Pepsi NEX : Un Pepsi sans calorie vendu seulement au Japon.
Pepsi Raging Raspberry
Pepsi Razzleberry
Pepsi Red : Un Pepsi rouge vendu au Japon.
Pepsi Samba : Pepsi aux saveurs tropicales.
Pepsi Strawberry Brust
Pepsi Tropical Chill
Pepsi Wild Cherry : Pepsi au goût de cerise.
Pepsi Vanilla : Vendu aux États-Unis en 2003, c'est la réponse de Pepsi au Coca-Cola vanille. Contient de l'extrait de vanille.
Pepsi Ice Cream : Vendu en Russie.
Pepsi X : Contant plus de caféine que le Pepsi Classique, le Pepsi X a une saveur unique et une teinte rougeâtre. Il est vendu dans le monde entier.
Pepsi Jazz : Pepsi diet a saveur de crème caramel.
Pepsi Blue Hawaii : Pepsi au saveur d'ananas et de citron vendu au Japon depuis l'été 2008.
วันพุธที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2551
Les perles sont de petites billes, généralement de couleur blanche, créées par certains mollusques, principalement les huîtres. Quand un objet irritant passe à l'intérieur de la coquille, l'animal réagit en entourant l'objet d'une couche de carbonate de calcium CaCO3 sous la forme d'aragonite ou de calcite. Ce mélange est appelé nacre.
Autrefois uniquement obtenues par le hasard, les perles font aujourd'hui l'objet d'une culture (perliculture). Elle a été mise au point par les Japonais du début du XXe siècle aux années 1970. Depuis, le secret de leur technique s'est répandu dans tout les archipels de l'océan Pacifique, et la Polynésie française est le principal producteur.
Biochimie
La nacre est un carbonate de calcium cristallisé sous forme orthorhombique (maille parallélépipédique) formant des cristaux d'aragonite. Ces cristaux se forment sur un substrat de protéines et de sucres complexes qui lui confère une grande solidité. Il s'agit, de fait, d'une bio-minéralisation, qui peut servir de mécanisme de défense vis-à-vis de l'intrusion d'un corps étranger[1].
La qualité esthétique de la perle dépend de l'épaisseur de la nacre (plus importante lorsque la perle est naturelle) mais aussi de la régularité de la cristallisation. Sa coloration est probablement multifactorielle (par ex. race et nutrition de l'huitre).
Les perles sont utilisées pour confectionner des bijoux depuis l'Antiquité ; elles étaient appelées les larmes d'Aphrodite. Les familles romaines qui en avaient les moyens achetaient à leurs filles une ou deux perles chaque année, afin qu'elles aient un collier complet à leur majorité.
Elles doivent leur brillance iridescente (proche de l'arc-en-ciel) à la réflexion et à la réfraction des couches superficielles translucides de nacre. La brillance est d'autant plus fine que les couches sont plus fines et nombreuses.
Les perles sont souvent blanches, parfois avec une teinte crème ou rose, mais peuvent être teintées en jaune, vert, bleu, marron ou noir. Les perles noires sont très chères car très rares ; leur production augmente toutefois sensiblement, notamment en provenance de Polynésie.
La valeur des perles est déterminée par leur brillance, leur couleur, leur taille, et leur symétrie. La brillance est le plus important des critères pour juger de la qualité d'une perle, surtout pour les joailliers, mais plus la perle est grosse, plus elle se vend cher. Les grosses perles parfaitement rondes sont très rares, et très recherchées pour des colliers à plusieurs rangs.
Les perles sont divisées en huit formes de base : rondes, semi-rondes, bouton, larme, poire, ovale, baroque (irrégulière), et baguée. Les perles parfaitement rondes sont les plus rares et les plus chères, et montées sur des colliers, ou de simples rangs de perles. Les perles en forme de larmes sont plus utilisées en pendants (d'oreilles ou de cou) ; les perles irrégulières sont le plus souvent utilisées dans des colliers ou des pièces de joaillerie où la forme irrégulière peut être cachée, et laisser croire à une perle parfaitement ronde. Les perles bouton sont légèrement aplaties autour de la perle, et peuvent être utilisées pour des colliers, ou pour des pendants ou des boucles d'oreille, où la partie arrière de la boucle est cachée, ce qui permet de laisser croire à une perle plus grosse et ronde. Les perles en larme et en poire sont utilisées dans les boucles d'oreille, ou comme perle centrale du collier. Les perles baroques, totalement irrégulières, ont parfois une forme intéressante qui permet de les monter en collier. Les perles baguées sont caractérisées par les arêtes concentriques autour du corps de la perle.
Les perles sont pesées en grains ; un grain de joaillier vaut 0,05 grammes (avant la Révolution française, 0,053 grammes). Il y a 75 grains dans un momme (3,75 grammes).
Culture des perles
Les premiers essais de culture des perles sont anciens : les Chinois introduisaient des statuettes de Bouddha dans les huîtres en guise de nucléus, les Araméens de petites figurines en terre cuite représentant des animaux[réf. nécessaire]. Le Suédois Carl von Linné et un Français font des essais, mais ce sont les Japonais To Kichi Nishikawa, Tatsuhei Mise et surtout Kokichi Mikimoto (1858-1954) qui réussissent à mettre la technique au point, et en font une industrie.
Beaucoup d'huîtres meurent après la greffe : environ dix pour cent immédiatement, et dix pour cent dans les deux ans. Un tiers des huîtres rejettent le nucléus et la nacre sécrétée par le greffon forme alors un keshi (graine de pavot en japonais), une sorte de perle manquée. Un cinquième des huîtres greffées produisent une perle inutilisable. Sur les trente pour cent de greffons donnant une perle utilisable, seul un pour cent font des perles parfaites.
Dans certaines variétés d'huîtres, on pose un noyau contre la coquille : c'est le mabé, une demi-perle enchâssée dans de la nacre. C'est Coco Chanel qui rendit ces mabés « populaires », montés en boucles d'oreille.
Perles d'Akoya
Ce sont les perles de culture de tradition japonaise (mais il commence à s'en produire plus en Chine). Elles sont obtenues depuis plus d'un siècle par introduction d'un greffon dans des huîtres de mer, et font entre 2 et 9 mm de diamètre. Elles sont naturellement jaunes, vertes et crèmes, mais sont retraitées pour devenir champagne, blanches ou argentées.
Perles d'Australie (ou des Mers du Sud)
Elles sont parmi les plus solides et les plus grosses (le record est détenu par une perle de près de 3 centimètres de diamètre). Elles aussi obtenues selon la technique japonaise, et ont une grande variété de teintes (plus foncées en Australie et dans le Pacifique). (Variété Pinctada Maxima).
Perle de Tahiti, Mabé et Keshi
La culture des perles produites par la variété margaritifera de Polynésie a fait l'objet d'essais depuis les années 20, mais c'est à partir de 1965, et grâce à l'aide de spécialistes japonais, qu'elle s'est vraiment développée. La perliculture constitue aujourd'hui une activité importante en Polynésie française, pratiquée dans les fermes perlières.
Les huîtres de Polynésie, variété Pinctada margaritafera, forment des perles dites "perles noires de Tahiti", qui est une AOC, dont les tons nacrés varient du vert à des colories plus sombres ou plus clairs, en passant par des teintes tirant vers le violet. Le Japon en est le principal marché de consommateur.
Lors de la greffe, la poche reproductrice de l'huître est incisée pour y déposer un petit morceau du manteau d'une autre huître. Les cellules issus de ce greffon de manteau se développent ensuite et tapissent la poche reproductrice. Ce sont ces cellules qui sécrète la nacre qui forme habituellement la coquille. En même temps que ce greffon, un petit nucléus sphérique est introduit, généralement un morceau de coquillage, qui sert de noyau aux sécrétions du greffon qui forme plus tard une perle. Certains barèmes de qualités fixent que le nucléus devrait être recouvert d'une couche de nacre d'un minimum de 0,8 mm. Les taux de mortalité après greffes varient en fonction des exploitations et de l'expérience du greffeur, mais des taux de réussite habituels tournent aux alentours de 25 à 30 %.
Historiquement, des greffeurs Japonais étaient engagés lors des courtes périodes de greffe. Protégeant le secret de leurs techniques, ils entouraient leur travail de précautions, mais ces techniques furent néanmoins apprises par des Polynésiens. Il existe maintenant de nombreux greffeurs autochtones, et une école de greffe forme aujourd'hui de jeunes Polynésiens. Des greffeurs originaires de Chine, moins cher que leur confrères japonais, sont également régulièrement engagés.
Perles d'eau douce (ou de Chine)
Elles sont cultivées depuis le XIIIe siècle en Chine, par l'introduction de boue ou de bois, ou de perles ratées, dans des moules d'eau douce. Les qualités sont très variables, de laiteuse ou même sans éclat à brillante. Les tailles obtenues varient entre 2 et 13 mm de diamètre. La production annuelle atteint 800 tonnes.
Les perles d'eau douce ont connu une grande popularité grâce à leur variété en couleur et forme, à leur abondance et à leur prix très intéressant. Leur taille varie en général de 2 à 13 mm. On en trouve des ternes, des laiteuses, d'autres qui ont un poli soyeux d'autre encore qui sont brillantes.